วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 3 (26/06/56)

  • อาจารย์ให้ดูและสรุป  VCD  เรื่องความลับของแสง

แสง    
      แสงคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic wave) ประเภทหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงความยาวคลื่นที่สายตามนุษย์มองเห็น หรือบางครั้งอาจรวมถึงการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความยาวคลื่นตั้งแต่รังสีอินฟราเรด (Infrared) ถึงรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) ด้วย
ความถี่ของคลื่นแสงที่แตกต่างกันนั้นขึ้นอยู่กับความเร็วในการสั่นสะเทือน ถ้าหากคลื่นแสงยิ่งมีความสั่นสะเทือนมากก็จะยิ่งมีความถี่มากแต่ความยาวคลื่นก็จะยิ่งน้อย โดยแสงที่เรามองเห็นได้นั้นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ในระดับที่ดวงตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ ซึ่งปกติแล้วแสงจะเคลื่อนที่ในสุญญากาศด้วยความเร็ว 299,792,458 เมตรต่อวินาที

จำแนกวัตถุตามการส่องผ่านของแสง ได้ดังนี้

  • วัตถุโปร่งใส คือ วัตถุที่ยอมให้แสงส่องทะลุผ่านได้โดยง่าย
  • วัตถุโปร่งแสง คือ วัตถุที่ยอมให้แสงผ่านไปได้เพียงบางส่วน
  • วัตถุทึบแสง คือ วัตถุที่ไม่ยอมให้แสงผ่านไปได้เลย
สมบัติพื้นฐานของแสง ได้แก่
  • ความเข้ม (ความสว่างหรือแอมพลิจูด) ซึ่งปรากฏแก่สายตามนุษย์ในรูปความสว่างของแสง
  • ความถี่ (หรือความยาวคลื่น) ซึ่งปรากฏแก่สายตามนุษย์ในรูปสีของแสง
  • โพลาไรเซชัน (มุมการสั่นของคลื่น) ซึ่งโดยปกติมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้
คุณสมบัติของแสง

         แสงจะมีคุณสมบัติที่สำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ การเดินทางเป็นเส้นตรง (Rectilinear propagation) , การหักเห (Refraction) , การสะท้อน (Reflection) และการกระจาย (Dispersion) 

1. การเดินทางแสงเป็นเส้นตรง
         ในตัวกลางที่มีค่าดัชนีการหักเห (refractive index ; n) ของแสงเท่ากัน   แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรง


2. การสะท้อน
         การสะท้อนของแสงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
         »  การสะท้อนแบบปกติ (Regular reflection)   จะเกิดขึ้นเมื่อแสงตกกระทบกับวัตถุที่มีผิวเรียบมันวาวดังรูปที่ 2.2


รูปที่ 2.2 การสะท้อนแบบปกติ


         »  การสะท้อนแบบกระจาย (Diffuse reflection)   จะเกิดขึ้นเมื่อแสงตกกระทบวัตถุที่มีผิวขรุขระดังรูปที่ 2.3


รูปที่ 2.3 การสะท้อนแบบกระจาย


         โดยการสะท้อนของแสงไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามจะต้องเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงที่ว่า "มุมสะท้อนเท่ากับมุมตกกระทบ"

3. การหักเห
         การหักเหของแสงจะเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางที่มีค่าดัชนีการหักเหไม่เท่ากัน   โดยลำแสงที่ตกกระทบจะต้องไม่ทำมุมฉากกับรอยต่อระหว่างตัวกลางทั้งสอง    และมุมตกกระทบต้องมีค่าไม่เกินมุมวิกฤต (Critical angel ;  )    โดยการหักเหของแสงสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี คือ

         »   n1 < n2 แสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ
รูปที่ 2.5 การหักเหของแสงกรณี n1 < n2

         จากรูปที่ 2.5 ระยะเวลาที่แสงใช้ในการเดินทางในช่วง BC จะเท่ากับระยะเวลาที่แสงใช้ในการเดินทางในช่วง B'C' 

         »   n1 > n2 แสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ


รูปที่ 2.6 การหักเหของแสงกรณี n1 > n2

         จากรูปที่ 2.6 จะเห็นว่าระยะทาง BC มีค่ามากกว่า B'C' เนื่องจากระยะทาง BC เป็นการเดินทางของแสงในตัวกลางที่มีค่าดัชนีการหักเหน้อยกว่า   ดังนั้นในระยะเวลาเท่ากันแสงจะสามารถเดินทางได้มากกว่า

         »   การสะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection)
         การเกิดการสะท้อนกลับหมดของแสงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อค่าดัชนีการหักเหของตัวกลางที่ 1 มีค่ามากกว่าดัชนีการหักเหของตัวกลางที่ 2 (n1 > n2) และ  ซึ่งจะส่งผลให้  มีค่าเท่ากับ หรือมากกว่าโดยเราสามารถหาค่า  ได้จาก Snell's Law

         เมื่อ  จะเกิดการสะท้อนกลับหมดของแสงซึ่งจะได้  ดังนั้น
ดังนั้นจะได้
รูปที่ 2.7 การสะท้อนกลับหมดของแสง

         ในรูปที่ 2.8 แสดงตัวอย่างของการสะท้อนกลับหมดของแสง โดยการมองเครื่องบินที่อยู่ในอากาศจากใต้น้ำ ซึ่งจะสามารถมองเห็นเครื่องบินได้ก็ต่อเมื่อเรามองทำมุมกับผิวน้ำมากกว่า  ค่าดังกล่าวได้มาจากการคำนวณมุมวิกฤตดังนี้
รูปที่ 2.8 ตัวอย่างการสะท้อนกลับหมดของแสง

         จากสมการ  แทนค่า n2=1 และ n1=1.33 จะได้
         ดังนั้นการมองจะต้องทำมุมกับเส้นปกติน้อยกว่า  จึงจะสามารถมองเห็นเครื่องบินได้   ถ้าเรามองทำมุมกับเส้นปกติเท่ากับหรือมากกว่า  จะทำให้เกิดการสะท้อนกลับหมดของแสงจึงไม่สามารถมองเห็นเครื่องบินได้   ซึ่งปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมดของแสงนี้จะทำให้แสงสามารถเดินทางไปในเส้นใยแสงได้

4. การกระจาย
         ในการพิจารณาการเดินทางของแสงที่ผ่านๆ มา   เราสมมติให้แสงที่เดินทางมีความยาวคลื่นเพียงความยาวคลื่นเดียวซึ่งเราเรียกแสงชนิดนี้ว่า   "Monochromatic"   แต่โดยธรรมชาติของแสงแล้วจะประกอบด้วยความยาวคลื่นหลายความยาวคลื่นผสมกัน   ซึ่งเราเรียกว่า "Polychromatic"   ดังแสดงในรูปที่ 2.9 จะเห็นว่าแสงสีขาวจะสามารถแยกออกเป็นแสงสีต่างๆ (ความยาวคลื่นต่างๆ)  ได้ถึง 6 ความยาวคลื่นโดยใช้แท่งแก้วปริซึม  ซึ่งกระบวนการที่เกิดการแยกแสงออกแสงออกมานี้  เราเรียกว่า "การกระจาย (Dispersion)"
         การกระจายของแสงนี้จะตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า  "แสงที่มีความยาวคลื่นต่างกันจะเดินทางด้วยความเร็วที่ต่างกันในตัวกลางเดียวกัน"
         นอกจากคุณสมบัติดังกล่าวทั้ง 4 ข้อแล้ว แสงยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกคือ
         1. แสงจัดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic wave) ชนิดหนึ่ง
         2. คลื่นแสงเป็นคลื่นมี่มีการเปลี่ยนแปลงตามขวาง (Transverse wave)
ซึ่งทั้ง  2  กรณีนี้  ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่าคลื่นแสงเป็นคลื่น TEM โดยลักษณะการเดินทางของแสงแสดงในรูปที่ 2.10
รูปที่ 2.10 การเดินทางของคลื่นแสง
  •  หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้ถามว่าเมื่อเราดู VCD  จบแล้วว่าได้เนื้อหาอะไรบ้าง และในเนื้อหามีอะไรที่สำคัญบ้าง แล้วให้นักศึกษาช่วยกันคิดแสดงความคิดเห็นร่วมกัน โดยสรุปได้เป้น My Map ดังนี้
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น